เมื่อวาน
สหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า
ประกาศล้มโครงการนำเอาระบบป้องกันขีปนาวุธไปวางไว้ที่โปแลนด์ และสาธารณรัฐเช็ค สหรัฐเริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจอร์จ
ดับเบิ้ลยู บุช โดยบุชอ้างว่าระบบนี้เอาไว้ป้องกันยุโรปจากขีปนาวุธของอิหร่าน และเกาหลีเหนือ
แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ
จุดที่สหรัฐเอาระบบไปวางไว้นั้น ถือว่าเป็นหน้าบ้านของรัสเซีย ก็เลยทำให้รัสเซียข้องใจในวัตถุประสงค์ที่แท้จริงว่าเป็นการต่อต้านอิหร่าน
เกาหลีเหนือ หรือว่ารัสเซีย
จริงๆแล้วใครกันแน่ที่มีขีปนาวุธเอาไว้ถล่มยุโรปได้มากมาย
อิหร่าน เกาหลีเหนือ หรือว่ารัสเซีย คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าคือรัสเซีย และถึงแม้อิหร่านกับเกาหลีเหนือจะมีขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์
ที่สามารถยิงถล่มยุโรปได้ พวกเขาจะมีอยู่สักกี่ลูกกัน
ขณะที่สหรัฐนั้นเล่ามีอยู่กี่ลูก ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า
สหรัฐมีนิวเคลียร์มากพอที่จะถล่มสองประเทศนี้ให้ย่อยยับไปได้หลายสิบรอบ ดังนั้น ก็ย่อมจะชัดเจนว่า ระบบนี้ มุ่งมาที่รัสเซียอย่างแน่นอน
ไม่ว่าใครจะอ้างอย่างไรก็ตาม
รัสเซียเคยเสนอแนวคิดเรื่องการย้ายระบบนี้ไปยังประเทศที่เป็นกลาง
( ในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์กับรัสเซีย ) มากกว่าโปแลนด์ และสาธารณรัฐเช็ค
อย่างเช่นประเทศในแถบเอเชียกลาง แต่บุชก็ไม่ยอม การโล๊ะเอาระบบนี้ทิ้งไป ในความคิดเห็นของผม จึงเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก
กราฟฟิกไม่ทราบว่าจากสำนักไหน
แต่ก็ระบุชัดเจนที่มุมบนด้านซ้ายว่า ระบบป้องกันขีปนาวุธ เอาไว้จัดการกับรัสเซีย
สาระของระบบป้องกันขีปนาวุธ
ก็คือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยิงขีปนาวุธเข้ามา ระบบเรด้าร์ของอีกฝ่ายจะทำหน้าที่ตรวจจับความเคลื่อนไหว
จากนั้นก็จะส่งขีปนาวุธขึ้นไปสกัดกลางอากาศ ไม่ให้ขีปนาวุธของผู้รุกราน
เดินทางเข้าโจมตีเป้าหมาย
ดูๆไปแล้ว
มันเป็นเรื่องของการป้องกันตัว ไม่ใช่การรุกราน
จึงไม่น่าจะสร้างปัญหาอะไรกับฝ่ายรัสเซีย จนต้องออกมาหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างที่เป็นอยู่
แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น
ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ยกเว้นปรมาณู 2 ลูกที่สหรัฐขนไปถล่มญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 (ซึ่งในช่วงนั้น
สหรัฐเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีอาวุธชนิดนี้อยู่ ) อาวุธนิวเคลียร์
ที่แสนจะร้ายกาจ ก็ไม่เคยได้ดื่มเลือดของชาวโลกอีกเลย ก็จึงถือได้ว่าอาวุธนิวเคลียร์ประสบความสำเร็จในการป้องปรามสงครามนิวเคลียร์
สหรัฐและโซเวียตต่างก็สร้างอาวุธนิวเคลียร์มากพอที่จะถล่มโลกทั้งใบให้เละเทะไปได้หลายรอบ
พวกเขาสร้างมันขึ้นมามากมาย ก็เพราะต้องการใช้จำนวนของมัน ในการขู่ไม่ให้อีกฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน
ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจนถึงทุกวันนี้
เพราะไม่มีใครเคยหยิบเอาอาวุธชนิดนี้มาใช้แม้แต่ครั้งเดียว
หลายคนคงจะเคยดูหนังประเภทเจ้าพ่อของฮ่องกง
และก็คงจะเคยเห็นฉากที่ 2 พระเอกหนุ่มหล่อของเรื่อง
ต่างก็ควักปืนออกมาจ่อหัวซึ่งกันและกัน แต่ท้ายที่สุด ก็ไม่มีใครยิงหัวใคร
เพราะต่างก็รู้ดีว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็คงจะกลายเป็นผีกันไปทั้งคู่
ในกรณีของสหรัฐและโซเวียตก็เช่นเดียวกัน
ไม่มีใครกล้าใช้อาวุธนิวเคลียร์ยิงใครก่อน เพราะสุดท้ายแล้ว
ก็คงจะต้องดับสูญกันไปทั้งคู่
แต่ถ้าลองย้อนกลับไปที่กรณีหนังฮ่องกง
หากฝ่ายหนึ่งสวมชุดเกราะเหล็กแบบอัศวินนักรบสมัยโบราณ
กับอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีอะไรป้องกันเลย
ก็คงนึกออกได้ไม่ยากว่าฝ่ายไหนจะยิงหัวอีกฝ่ายหนึ่งก่อน
เช่นเดียวกับกรณีอาวุธนิวเคลียร์
ถ้าฝ่ายใดมีระบบป้องกันอาวุธนิวเคลียร์เสียแล้ว
โอกาสที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ก็มีมากขึ้น
เมื่ออาวุธนิวเคลียร์ที่อีกฝ่ายหนึ่งยิงมาถูกสกัดกั้น จนมาไม่ถึงเป้าหมาย
อีกฝ่ายก็คงไม่หวั่นเกรงอาวุธนิวเคลียร์ของฝ่ายตรงข้ามมากเท่ากับในสมัยที่ยังไม่มีระบบป้องกันขีปนาวุธ
แต่สหรัฐมีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธในระดับทั่วประเทศมาช้านานแล้ว
เพียงแต่ว่าปัญหาเรื่องทางเทคนิค การเงิน
และอื่นๆทำให้เรื่องนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
ทำให้ในสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธข้ามทวีป
หรือ Anti-Ballistic Missile Treaty หรือ เอบีเอ็ม ระหว่างสหรัฐและโซเวียตที่ลงนามกันในปี 1972 และให้มีอายุเวลา 30 ปี คือจนถึงปี 2002
จึงกำหนดห้ามทั้งสองประเทศนำระบบป้องกันขีปนาวุธมาใช้
ภายใต้สนธิสัญญาดังกล่าว
อนุญาตให้แต่ละประเทศสามารถนำระบบป้องกันขีปนาวุธมาใช้ปกป้องเป้าหมายได้เป้าหมายเดียวเท่านั้น
และให้แต่ละฝ่ายมีขีปนาวุธสกัดกั้นเพื่อการนี้ได้แค่ 100 ลูกเท่านั้น
ซึ่งฝ่ายโซเวียตก็เลือกที่จะปกป้องกรุงมอสโก โดยใช้ระบบที่เรียกว่า A-35
"Galosh" ส่วนสหรัฐเลือกที่จะปกป้องเป้าหมายเป็นฐานทัพอากาศชื่อ
Grand Forks โดยใช้ระบบ Safeguard
แต่สหรัฐก็ยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบต่อไป
จนในที่สุดปลายปี 1999 สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ
ก็รับรองมติในอันที่จะกดดันสหรัฐให้ล้มเลิกแผนการในการจัดสร้างระบบต่อต้านขีปนาวุธ
งานนี้นอกจากสหรัฐที่คัดค้านมติดังกล่าว
ก็ยังมีอีกแค่ 3 ประเทศเท่านั้นคือ
แอลเบเนีย อิสราเอล และไมโครนีเซียที่อยู่ข้างสหรัฐ ขณะที่ 13 ประเทศจาก 15 ประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป งดออกเสียง
ส่วนฝรั่งเศสและไอร์แลนด์สนับสนุนมติ โดยมตินี้
เรียกร้องให้สหรัฐพยายามรักษาสนธิสัญญาเอบีเอ็มเอาไว้
และพยายามทำให้มันเข้มแข็งมากขึ้น
แต่ปลายปี 2001 สหรัฐก็ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาเอบีเอ็ม
เพื่อเดินหน้าพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธต่อไป



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น