อินเดียและจีนเป็นประเทศที่นำเข้าอาวุธมากที่สุดในโลก
อินเดียและจีนซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านกันในเอเชียและคู่ปรับกันในโลก
ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำเข้าอาวุธและยุทธภัณฑ์ตามแบบรายใหญ่ที่สุดในโลก
ในระหว่างปี 2551 ถึงปี 2555 อินเดียได้กลายเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดแทนจีนไปแล้ว
จีนเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่เป็นอันดับสองในช่วงระยะเวลาเดียวกันนั้น
ขณะที่จีนนำเข้าอาวุธต่อเนื่อง
แต่ก็กลายเป็นผู้ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าของโลก
โดยเบียดสหราชอาณาจักรให้ตกไปอยู่ในอันดับหกของโลก
ประเทศที่เหลือในห้าอันดับแรกของรายชื่อประเทศที่นำเข้ารายใหญ่ที่สุด
ได้แก่ ปากีสถาน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์
ทำให้ห้าอันดับแรกเป็นประเทศในแถบเอเชียทั้งหมด
นี่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
Stockholm International Peace Research Institute [SIPRI]
สถาบันอิสระระหว่างประเทศที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับความขัดแย้ง
การขายอาวุธยุทธภัณฑ์และอาวุธ ได้เปิดเผยรายงานของสถาบันที่มีชื่อรายงานว่า
"แนวโน้มในการถ่ายโอนอาวุธระหว่างประเทศ ปี 2555"
ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย
สถาบัน SIPRI ได้เปิดเผยรายงานดังกล่าวที่ Observer Research Foundation ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเชิงนโยบายสาธารณะในกรุงนิวเดลี
ปีเตอร์ วีซแมน
เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโสของ SIPRI กล่าวโดยอ้างถึงเนื้อหาในรายงานนั้นว่า
"เอเชียและโอเชียเนียนำเข้าอาวุธตามแบบที่สำคัญ ๆ เป็นจำนวนเกือบครึ่งหนึ่ง
[ร้อยละ 47] ของโลก
โดยอินเดียนำเข้ามากที่สุดที่ร้อยละ 12 จีนนำเข้าร้อยละ
6"
รายงานของ SIPRI กล่าวว่าในช่วงห้าปีนั้น
ปากีสถานและเกาหลีใต้นำเข้าร้อยละ 5 เท่ากัน
ขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ร้อยละ 4 ในห้าปีก่อนหน้านั้น
การซื้ออาวุธทางทหารของปากีสถาน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ อยู่ที่ร้อยละ 2, ร้อยละ 5 และร้อยละ
1 ตามลำดับ
ของการค้าอาวุธทั้งหมดในโลก
เมื่อเปรียบเทียบช่วงปี 2546 ถึง 2550 กับช่วงปี 2551 ถึง 2555 รายงานของ SIPRI ชี้ให้เห็นว่า ณ สิ้นปี 2550 อินเดียมีส่วนแบ่งการนำเข้าอาวุธทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ
9 ซึ่งถือเป็นประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองรองจากจีนซึ่งในขณะนั้นนำเข้าร้อยละ
12
ในระหว่างปี 2551 ถึง 2555 ประเทศที่นำเข้าอาวุธมากที่สุดห้าอันดับแรก
นำเข้าอาวุธทั้งหมดรวมกันประมาณร้อยละ 32 ของการนำเข้าอาวุธทั้งหมดทั่วโลก
โดยลดลงร้อยละ 6 จากช่วงห้าปีก่อนหน้านั้น
ประเทศที่นำเข้ามากที่สุดห้าอันดับแรกนำเข้าอาวุธทั้งหมดรวมกันร้อยละ 38
เมื่อดูที่ปริมาณการนำเข้าแล้ว
การถ่ายโอนอาวุธตามแบบที่สำคัญ ๆ
ระหว่างประเทศในช่วงห้าปีล่าสุดนั้นสูงกว่าระยะห้าปีก่อนหน้านั้นร้อยละ 17
เพราะเหตุใดอินเดียและจีนจึงนำเข้ามากที่สุด
นอกจากความไม่แน่ใจถึงเจตนาด้านการทหารของกันและกันแล้ว
อินเดียและจีนยังกำลังพยายามยกระดับ ขยายตัว
และปรับปรุงด้านการทหารให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น ขณะที่จีนกำลังค่อย ๆ
พึ่งพาตัวเองได้ในการผลิตยุทธภัณฑ์ทางการทหารของตัวเอง
อินเดียทำเช่นเดียวกันแต่ไม่ได้ผลดีนัก
การนำเข้าอาวุธตามแบบที่สำคัญ ๆ
ของอินเดียในช่วงห้าปีหลังสุดนี้สูงกว่าจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสอง
ถึงร้อยละ 109
รายงานฉบับนั้นกล่าวว่า “ในปี 2551-2555
อินเดียได้ปรับปรุงขีดความสามารถทางการทหารระยะไกลของประเทศโดยการนำเข้ารายการต่าง
ๆ เช่น เครื่องบินรบ Su-30MKI กว่า
100 ลำ
จากรัสเซีย เครื่องบินระบบเตือนภัยล่วงหน้าทางอากาศ [รวมส่วนประกอบต่าง ๆ
จากอิสราเอล รัสเซีย และอุซเบกิสถาน] จำนวน 3 ลำ
เรือดำน้ำ Akula พลังนิวเคลียร์จำนวนหนึ่งลำจากรัสเซีย
และเครื่องบินสงครามปราบเรือดำน้ำ P-8I
ลำแรกจากทั้งหมดแปดลำจากสหรัฐอเมริกา"
ขณะที่จีนเลื่อนจากอันดับหนึ่งไปอยู่อันดับสองในรายงานสองฉบับที่ผ่านมา
SIPRI ชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังได้รับความช่วยเหลือบางอย่าง
"อาวุธใหม่ ๆ ของจีนยังคงมีส่วนประกอบที่สำคัญจากต่างประเทศรวมอยู่ด้วย"
รายงานฉบับนั้นกล่าว
ตัวอย่างเช่น เรือเหลี่ยวนิง
ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินของจีน อาศัยดีไซน์และตัวเรือที่นำเข้ามาจากยูเครน
เครื่องบิน J-10 และ
J-11 ซึ่งเป็นเครื่องบินรบที่สำคัญที่สุดของจีนที่จีนผลิตเองเป็นจำนวนมาก
ใช้เครื่องยนต์ AL-31FN ที่รัสเซียเป็นผู้จัดหาให้
เรือดำน้ำเป็นสิ่งที่ประเทศในทะเลจีนใต้ต้องการซื้อ
นี่เป็นการเพิ่มมิติใหม่เข้าไปในความอ่อนไหวที่สูงขึ้นในแถบมหาสมุทรอินเดีย
เอเชีย และ มหาสมุทรแปซิฟิก การประเมินของ SIPRI
ชี้ให้เห็นว่าเรือดำน้ำซึ่งถือว่าเป็นระบบขัดขวางพื้นที่ทางทะเลที่มีประสิทธิผล
ได้กลายมาเป็นสิ่งที่เป็นที่ต้องการของประเทศที่เกี่ยวข้องในกรณีพิพาททางทะเลในทะเลจีนใต้
หรือประเทศที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทกันในน่านน้ำเหล่านั้น
ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้เกี่ยวข้องกับจีน เวียดนาม
ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบรูไน
ในขณะที่อินโดนีเซียได้รับผลกระทบจากการอ้างสิทธิ์ของประเทศเหล่านี้
ประเทศเหล่านี้ได้อ้างสิทธิ์ต่าง ๆ เหนือดินแดนและอำนาจอธิปไตยเหนือบริเวณต่าง ๆ
ในมหาสมุทร และเหนือหมู่เกาะพาราเซลส์และสแปรตลีย์ ซึ่งเป็นหมู่เกาะที่ประเทศต่าง
ๆ อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของทั้งหมดหรือบางส่วน นอกจากหมู่เกาะทั้งหมดเหล่านี้แล้ว
ยังมีหินปะการังที่ไม่มีผู้อาศัยอยู่ มูนทราย และโขดหินต่าง ๆ
จำนวนกว่าสิบแห่งด้วย
การอ้างแย้งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงเขตเศรษฐกิจจำเพาะที่ได้รับการกำหนดไว้โดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล
[UNCLOS] ในปี
2525
“ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในเรือดำน้ำ
ในปี 2555 สิงคโปร์ได้รับเรือดำน้ำ
Västergotland ลำที่สองจากทั้งหมดสองลำจากสวีเดน
และอินโดนีเซียได้สั่งเรือดำน้ำ Type-209 จำนวนสามลำจากเกาหลีใต้
เวียดนามกำลังสั่งซื้อเรือดำน้ำ Project-636 จำนวนหกลำจากรัสเซีย
สิงคโปร์และมาเลเซียยืนยันแผนการที่จะซื้อเรือดำน้ำเพิ่มเติม
ขณะที่ไทยและฟิลิปปินส์ยืนยันแผนการที่จะซื้อเรือดำน้ำหลายลำ"
รายงานนั้นกล่าว " ปริมาณการส่งมอบ [อาวุธและยุทธภัณฑ์ทั้งหมด]
แก่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงปี 2551-2555
เพิ่มขึ้นร้อยละ 169
เมื่อเทียบกับช่วงปี 2546-2550"
การส่งออกอาวุธของจีนติดอันดับต้น
ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่จีนติดห้าอันดับแรกในฐานะประเทศผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุด
นี่ทำให้รายชื่อห้าอันดับแรกเปลี่ยนแปลงไปเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศผู้จัดหาอาวุธตามแบบที่สำคัญรายใหญ่สุดห้ารายตั้งแต่ปี
2551 ถึง
2555 ได้แก่
สหรัฐอเมริกา [ร้อยละ 30 ของการส่งออกอาวุธทั้งหมดในโลก]
รัสเซีย [ร้อยละ 26] เยอรมนี
[ร้อยละ 7] ฝรั่งเศส
[ร้อยละ 6] และจีน
[ร้อยละ 5]
“การที่จีนติดอันดับหนึ่งในห้าในฐานะผู้ส่งออกอาวุธเป็นเพราะการสั่งซื้ออาวุธจำนวนมากของปากีสถาน"
พอล โฮลตัม ผู้อำนวยการโครงการถ่ายโอนอาวุธของ SIPRI
กล่าว
ปากีสถานนำเข้าฮาร์ดแวร์ด้านการทหารประมาณร้อยละ
55 จากจีน
ฮาร์ดแวร์เหล่านี้ ได้แก่ เครื่องบินรบ เรือสงคราม รถถัง และปืน
ราเชสวารี พิลไล ราชาโกปาลัน
เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโสที่ Observer
Research Foundation กล่าวว่าการติดอันดับหนึ่งในห้าของจีนจะเกิดผลกระทบไม่เพียงแต่ประเทศเพื่อนบ้านของจีนเท่านั้น
แต่ยังต่อทั้งโลกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น