วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

อาวุธนิวเคลียร์

อาวุธนิวเคลียร์







อาวุธนิวเคลียร์ เป็นวัตถุระเบิดซึ่งอำนาจทำลายล้างมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาฟิชชัน หรือฟิชชันและฟิวชันรวมกัน ปฏิกิริยาทั้งสองปลดปล่อยพลังงานปริมาณมหาศาลจากสสารปริมาณค่อนข้างน้อย การทดสอบระเบิดฟิชชัน ("อะตอม") ลูกแรกปลดปล่อยพลังงานออกมาเทียบเท่ากับทีเอ็นทีประมาณ 20,000 ตัน การทดสอบระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ ("ไฮโดรเจน") ลูกแรก ปลดปล่อยพลังงานออกมาเท่ากับทีเอ็นทีประมาณ 10,000,000 ตัน
อาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์สมัยใหม่ที่หนักกว่า 1,100 กิโลกรัมเล็กน้อย สามารถก่อให้เกิดแรงระเบิดเทียบเท่ากับการจุดระเบิดทีเอ็นทีมากกว่า 1.2 ล้านตัน ดังนั้น กระทั่งวัตถุนิวเคลียร์ลูกเล็กๆ ที่ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าระเบิดธรรมดา สามารถทำลายล้างนครทั้งนครได้ ด้วยแรงระเบิด ไฟและกัมมันตรังสี อาวุธนิวเคลียร์ถูกพิจารณาว่าเป็นอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง และการใช้และควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ได้กลายเป็นจุดสนใจสำคัญของนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนับแต่ถืแกำเนิดขึ้น
มีอาวุธนิวเคลียร์เพียงสองชิ้นเท่านั้นที่เคยใช้ตลอดห้วงการสงคราม ทั้งสองครั้งโดยสหรัฐอเมริกายามสงครามโลกครั้งที่สองใกล้ยุติ วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 วัตถุประเภทจุดระเบิดยูเรเนียม (uranium gun-type) ชื่อรหัสว่า "ลิตเติลบอย" ถูกจุดระเบิดเหนือนครฮิโรชิมาของญี่ปุ่น อีกสามวันให้หลัง วันที่ 9 สิงหาคม วัตถุประเภทจุดระเบิดภายในพลูโตเนียม (plutonium implosion-type) ชื่อรหัสว่า "แฟตแมน" ระเบิดเหนือนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น การทิ้งระเบิดทั้งสองลูกส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตไปประมาณ 200,000 ศพ ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน จากการบาดเจ็บฉับพลันที่ได้รับจากการระเบิด[1]
นับแต่การทิ้งระเบิดฮิโรชิมาและนางาซากิ อาวุธนิวเคลียร์ถูกจุดระเบิดกว่าสองพันโอกาสเพื่อจุดประสงค์ด้านการทดสอบและสาธิต มีเพียงไม่กี่ชาติที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์หรือถูกสงสัยว่ากำลังแสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ ประเทศที่ทราบว่าเคยจุดระเบิดอาวุธนิวเคลียร์ และได้รับการรับรองว่าครอบครองอาวุธนิวเคีลยร์ คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต (รัสเซียเป็นผู้สืบทอดอำนาจนิวเคลียร์) สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย ปากีสถาน และเกาหลีเหนือ นอกเหนือจากนี้ อิสราเอลยังถูกเชื่ออย่างกว้างขวางว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ไม่ได้รับการรับรองว่ามี[2][3] รัฐหนึ่ง แอฟริกาใต้ เคยยอมรับว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ที่ทำขึ้นก่อนหน้านี้ในอดีต แต่นับแต่นั้นได้แยกประกอบคลังแสงของตนและส่งให้กับผู้คุ้มครองนานาชาติ[4]
สหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกาประเมินว่ามีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 20,500 หัวทั่วโลกใน พ.ศ. 2554 โดยมีราว 4,800 หัวถูกเก็บไว้ในสถานะ "ปฏิบัติการ" คือ พร้อมใช้งานได้ทันที[2]


วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

อ้างอิง


อ้างอิง   

                           http://27.254.44.103:81/~topten/1353-top.html

ผลงานในสงครามโลกของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

ผลงานในสงครามโลก


                                 


 คลิประเบิดปรมาณูผลงานของไอน์สไตน์


     ในปี ค.ศ.1914 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น ทำให้ทุกหนทุกแห่งวุ่นวาย โดยเฉพาะในยุโรป แต่ถึงอย่างนั้นในปี ค.ศ.1915 ไอน์สไตน์ก็ยังทำการค้นคว้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และออกตีพิมพ์หนังสืออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Theory of Relativity) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่หลายต่างก็ไม่เข้าใจในทฤษฎีข้อนี้ แต่ด้วยความที่ไอน์สไตน์เป็นคนสุขุมเยือกเย็น เขาได้ อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีในหลายลักษณะเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า มีรถไฟ 2 ขบวน ขบวนหนึ่งจอดอยู่กับที่ อีกขบวนหนึ่งกำลังวิ่งสวน ทางไป ผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟที่จอดอยู่อาจจะรู้สึกว่ารถไฟกำลังวิ่งอยู่ เพราะฉะนั้น อัตราเร็ว ทิศทาง จึงมีความเกี่ยวข้องกัน
      ในปี ค.ศ.1921 ไอน์สไตน์ได้เสนอผลงานออกมาอีกชิ้นหนึ่ง คือ ทฤษฎีการแผ่รังสี (Photoelectric Effect Theory) และจากผลงานชิ้นนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ และรางวัลจากอีกหลายสถาบัน ได้แก่ ค.ศ.1925 ได้รับเหรียญคอพเลย์ จากราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน ค.ศ.1926 ได้รับเหรียญทองราชดาราศาสตร์ ค.ศ.1931 ดำรงตำแหน่งนักค้นคว้าของวิทยาลัย ไครสต์เชิร์ช แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ค.ศ.1933 เขาได้รับเชิญจากประเทศสหรัฐอเมริกาให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของ สถาบันบัณฑิตวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยพรินส์ตัน ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ (Institute for Advance Study at Princeton, New Jersey) นอกจากนี้ทฤษฎีของเขายังสามารถล้มล้างทฤษฎีของจอห์น ดาลตัน (John Dalton) นักฟิสิกส์และเคมีชาวอังกฤษที่ว่า "สสารย่อมไม่สูญไปจากโลกเพราะอะตอมเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งไม่สามารถจะแยกออกไปได้อีก" แต่ไอน์สไตน์ได้กล่าวว่า สสารย่อมมีการสูญสลาย นอกจากพลังงานเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากสสารที่หายไป และอะตอมไม่ใช่ส่วนที่ เล็กที่สุดของสสาร เพราะฉะนั้นจึงสามารถแยกออกได้อีก
      ในปี ค.ศ.1939 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับความทุกข์ทางใจมาก เนื่องจากเยอรมนีในฐานะผู้ก่อ สงคราม และมีฮิตเลอร์เป็นผู้นำ ฮิตเลอร์รังเกียจชาวยิว และกล่าวหาชาวยิวว่าเบียดเบียนชาวเยอรมันในการประกอบอาชีพ แต่ ไอน์สไตน์ ก็ยังโชคดีเพราะว่าก่อนหน้านี้ ในปี ค.ศ.1933 ได้อพยพออกจากเยอรมนี เพราะในขณะนั้นฮิตเลอร์ได้ดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีของเยอรมนี และเริ่มขับไล่ชาวยิวออกจากเยอรมนีตั้งแต่ปี ค.ศ.1932 ไอน์สไตน์เห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงเดิน ทางออกมา แต่ยังมีชาวยิวกว่า 2,000,000 คน ที่ยังอยู่ในเยอรมนี และถูกสังหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กว่า 1,000,000 คน
      สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่ยืดเยื้อนานกว่า 6 ปี โดยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ประเทศสหรัฐ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศษ และรัสเซีย และฝ่ายอักษะ ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ต่อมาช่วงกลางปี ค.ศ.1945 เยอรมนี และอิตาลี ได้ยอมแพ้สงครามเหลือเพียงแต่ญี่ปุ่นประเทศเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ยอมแพ้ ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งลูกระเบิดปรมาณู เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม ระเบิดปรมาณูได้ทำการทดลองสร้างขึ้นในระหว่างสงครามครั้งนี้ ซึ่งมีไอน์สไตน์เป็นผู้ริเริ่ม และควบคุมการผลิต ลูกระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกได้ทำการทดลองทิ้งลงที่เมืองฮิโรชิมา ในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945 ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายกว่า 150,000 คน แต่ญี่ปุ่นยังไม่ประกาศยอมแพ้ ดังนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งระเบิดอีก 1 ลูก ที่เมืองนางาซากิ (Nagasaki) ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกกว่า 100,000 คน เช่นกัน ลูกระเบิด 2 ลูก นี้ ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม และปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เพียงเท่านี้
      ไอน์สไตน์เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1955 หลังจากที่ไอน์สไตน์เสียชีวิตไปแล้วมีการสร้าง อนุสาวรีย์ รูปไอน์สไตน์ครึ่งตัวขึ้นภายในสถาบันฟิสิกส์ แห่งกรุงเบอร์ลิน เรียกว่า หอคอยไอน์สไตน์ เพื่อระลึกถึงความสามารถของเขา
             

บุคคลที่สร้างอาวุธนิวเคลียร์

                                                      

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์







นิวเคลียร์เป็นสิ่งใดๆ ก็ตาม ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียสของอะตอม แต่ก่อนนั้นคนเรายังไม่เชื่อว่าอะตอมมีจริง เพราะอะตอมเล็กมากจนใครก็มองไม่เห็น อะตอมจึงเป็นแต่เพียงหลักปรัชญาของชาวกรีกชื่อว่าดีโมคริตุส (Democritus) ตั้งแต่เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ต่อมาเมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์เจริญขึ้น ราวเกือบสองร้อยปีก่อน (ค.ศ. ๑๘๐๘) จอห์น ดอลตัน (John Dalton) ชาวอังกฤษก็เอาหลักปรัชญาที่ว่ามาปัดฝุ่นกลายเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่าทฤษฎีอะตอมสมัยใหม่ (modern atomic theory) อะตอมของดอลตันในตอนนั้นก็เป็นเหมือนกับลูกบิลเลียดกลมๆ ซึ่งตัน แต่ว่ามีขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็น จากนั้นมาก็มีนักวิทยาศาสตร์เรียงแถวกันมายาวเหยียดศึกษาเรื่องของอะตอม จนเชื่อว่าที่จริงอะตอมไม่ได้ตัน แต่โปร่งจนแทบจะไม่มีเนื้อสสารเอาเลย คือมีเพียงนิวเคลียสเล็กๆ เป็นแกนกลางขนาดเพียง ๑ ในหมื่นของเส้นผ่านศูนย์กลางของอะตอม โดยรอบๆ นิวเคลียสเป็นอาณาเขตว่างเปล่าที่อิเล็กตรอนวิ่งวนกันวุ่นไปรอบๆ นิวเคลียส ไม่ได้มีเนื้อสสารใดๆ นอกจากเนื้อสสารของอิเล็กตรอนเองซึ่งก็เล็กน้อยมาก ยกตัวอย่างอะตอมยูเรเนียมมีมวลที่นิวเคลียสของโปรตอนกับนิวตรอนรวมกัน (๒๓๘ อนุภาค) หนักประมาณ ๔,๗๐๐ เท่าตัวของอิเล็กตรอนทั้ง ๙๒ อนุภาครวมกันที่วิ่งวุ่นวนอยู่รอบๆ นิวเคลียสนั้น

       โครงสร้างของอะตอมที่กล่าวมานี้ โดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมของอิเล็กตรอนที่ว่าวิ่งวุ่นวนอยู่รอบๆ นิวเคลียสนี้ ท่านว่าอิเล็กตรอนเหล่านี้ที่ดูเหมือนวิ่งวุ่นๆ นั้น แท้จริงแล้วแบ่งได้เป็นชุดๆ ตามระดับพลังงานมากน้อยแตกต่างกันเป็นช่วงๆ อิเล็กตรอนที่อยู่ในชุดเดียวกันเรียกว่าอยู่ในเชลล์ (k l m n ..) เดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้พัฒนาขึ้นมาได้จากทฤษฎีที่เป็นผลงานของมักซ์ พลังค์ (Max Planck) ซึ่งได้ตัวสมการหรือค่าคงตัวมาจากการทดลอง และค่าคงตัวนี้รู้จักกันดีในชื่อว่า Planck's constant ว่ากันว่าเวลาพิสูจน์สูตรหรือตัวสมการหรือค่าคงตัวนี้ พลังค์ใช้วิธีดำน้ำเอา เพราะกฎฟิสิกส์ที่มีมาตั้งแต่ยุคที่เซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac Newton) จัดให้นั้น ไม่เพียงพอจะใช้อธิบายได้ และพลังค์ก็ไม่กล้าพอที่จะแหกคอก แต่คนที่กล้าแหกคอกกลับเป็นแอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ในขณะที่มีอายุเพียง ๒๖ ปี ที่กล้าแหกคอกโดยพิสูจน์สูตรจากสมมุติฐานว่าพลังงานของโฟตอนที่เชื่อกันมาตามที่นิวตันบอกไว้ ว่าปล่อยออกมาอย่างมีความต่อเนื่องนั้น แท้จริงแล้วเป็นห้วงๆ หรือเป็นก้อนๆ หรือจะเรียกอะไรก็ตาม ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า ควอนตัม ดังนั้นไอน์สไตน์จึงเป็นคนแรกที่ใช้คำๆ นี้ และพัฒนาต่อมาโดยนักวิทยาศาสตร์อีกแถวยาวเรียกว่า ทฤษฎีควอนตัม (quantum theory)
       ในปี ค.ศ. ๑๙๐๕ ที่ไอน์สไตน์จุดประกายเรื่องควอนตัมนั้น ไอน์สไตน์ยังได้เขียนสูตรสั้นๆ ง่ายๆ ขึ้นมาอีกสูตรหนึ่งด้วย คือ E=mc2 เรียกว่า สมการมวล-พลังงานของไอน์สไตน์ ซึ่งสามารถตีความได้ว่า พลังงาน (E)กับมวล (m) เป็นของสิ่งเดียวกันที่แปลงกลับไปกลับมากันได้ สมการนี้ดูเผินๆ ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์เอาเลย แต่พอถึงช่วงปี ค.ศ. ๑๙๓๔-๓๙ ก็มีผู้ค้นพบการแบ่งแยกของนิวเคลียสหรือฟิชชัน (fission) ซึ่งเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่นิวเคลียสแตกออกเป็นสองเสี่ยงขนาดใกล้เคียงกัน และมีมวลของนิวเคลียสหายไปเล็กน้อยกลายไปเป็นพลังงานมหาศาลตรงตามสมการของไอน์สไตน์ที่เขียนไว้ตั้งแต่ ๓๐ กว่าปีก่อน ในช่วงที่มีการค้นพบการแบ่งแยกนิวเคลียสนั้น พอดีกับเป็นช่วงที่กำลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ความรู้นี้จึงถูกนำไปสร้างระเบิดนิวเคลียร์ พาให้อนุชนรุ่นหลังหลงคิดกันว่าไอน์สไตน์เป็นผู้คิดค้นและสร้างระเบิดนิวเคลียร์เอาไปทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ ซึ่งความเข้าใจนี้ถูกต้องเพียงเสี้ยวเล็กๆ เสี้ยวเดียวเท่านั้น
      เนื่องจากว่าคนที่ค้นพบปฏิกิริยาแบ่งแยกนิวเคลียสเป็นชาวเยอรมันชื่อว่าอ๊อตโต ฮาห์น (Otto Hahn) กับฟริตซ์ ชตราสมันน์ (Fritz Strassmann) พวกนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์เป็นโหลที่หนีภัยสงครามจากยุโรปมาพำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาจึงกลัวกันว่าเยอรมันนาซีจะสร้างระเบิดนิวเคลียร์มาใช้ในสงคราม และพยายามโน้มน้าวให้สหรัฐอเมริกาเร่งค้นคว้าการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ให้ได้ก่อนเยอรมัน โดยไปขอร้องให้ไอน์สไตน์ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียง ให้ออกหน้าลงนามในจดหมายถึงประธานาธิบดีโรสเวลต์ (Roosevelt) ไอน์สไตน์คล้อยตามและยอมลงชื่อในจดหมายซึ่งมีผลเพียงประธานาธิบดีสั่งให้ตั้งคณะที่ปรึกษาขึ้นมาหนึ่งคณะเท่านั้น หลังจากนั้นไอน์สไตน์ก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยกับการสร้างระเบิดนิวเคลียร์จนสำเร็จตลอดจนการนำไปทิ้งที่ประเทศญี่ปุ่น
      หลังสงครามโลกยุติลง ได้เกิดการแข่งขันกันสร้างแสนยานุภาพนิวเคลียร์ โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตหรือรัสเซีย และไอน์สไตน์นี่แหละที่เป็นบุคคลในแถวหน้าที่ออกมาต่อต้านการแข่งขันกันสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งโดยการออกทีวี วิทยุ และการเขียนบทความ ตลอดจนการสนับสนุนการสร้างสันติถาพขององค์การสหประชาชาติอย่างสุดตัว
      ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าไอน์สไตน์แทบไม่เคยลงไม้ลงมือเกี่ยวกับนิวเคลียร์จริงๆ เลย แต่ผลงานของเขากลับเกี่ยวโยงกับนิวเคลียร์อย่างแนบแน่นอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าชื่อของเขาจะได้รับเกียรตินำไปตั้งเป็นชื่อธาตุลำดับที่ ๙๙ ในตารางพีริออดิก มีชื่อธาตุว่า ไอน์สไตเนียม (einsteinium) ธาตุนี้ค้นพบโดยนักฟิสิกส์ชื่อ Ghiorso กับเพื่อนร่วมงาน ที่มหาวิทยาลัย Berkeley จากขยะที่เป็นเศษวัสดุหลงเหลือจากการทดลองระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ (ระเบิดไฮโดรเจน) ลูกแรกของโลกที่เกาะปะการังชื่อว่า Eniwetok ในมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๕๒

รัสเซีย กับระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐ



เมื่อวาน สหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ประกาศล้มโครงการนำเอาระบบป้องกันขีปนาวุธไปวางไว้ที่โปแลนด์ และสาธารณรัฐเช็ค สหรัฐเริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช โดยบุชอ้างว่าระบบนี้เอาไว้ป้องกันยุโรปจากขีปนาวุธของอิหร่าน และเกาหลีเหนือ 



แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ จุดที่สหรัฐเอาระบบไปวางไว้นั้น ถือว่าเป็นหน้าบ้านของรัสเซีย ก็เลยทำให้รัสเซียข้องใจในวัตถุประสงค์ที่แท้จริงว่าเป็นการต่อต้านอิหร่าน เกาหลีเหนือ หรือว่ารัสเซีย

จริงๆแล้วใครกันแน่ที่มีขีปนาวุธเอาไว้ถล่มยุโรปได้มากมาย อิหร่าน เกาหลีเหนือ หรือว่ารัสเซีย คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าคือรัสเซีย และถึงแม้อิหร่านกับเกาหลีเหนือจะมีขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ ที่สามารถยิงถล่มยุโรปได้ พวกเขาจะมีอยู่สักกี่ลูกกัน ขณะที่สหรัฐนั้นเล่ามีอยู่กี่ลูก ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า สหรัฐมีนิวเคลียร์มากพอที่จะถล่มสองประเทศนี้ให้ย่อยยับไปได้หลายสิบรอบ ดังนั้น ก็ย่อมจะชัดเจนว่า ระบบนี้ มุ่งมาที่รัสเซียอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะอ้างอย่างไรก็ตาม

รัสเซียเคยเสนอแนวคิดเรื่องการย้ายระบบนี้ไปยังประเทศที่เป็นกลาง ( ในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์กับรัสเซีย ) มากกว่าโปแลนด์ และสาธารณรัฐเช็ค อย่างเช่นประเทศในแถบเอเชียกลาง แต่บุชก็ไม่ยอม การโล๊ะเอาระบบนี้ทิ้งไป ในความคิดเห็นของผม จึงเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก


กราฟฟิกไม่ทราบว่าจากสำนักไหน แต่ก็ระบุชัดเจนที่มุมบนด้านซ้ายว่า ระบบป้องกันขีปนาวุธ เอาไว้จัดการกับรัสเซีย

สาระของระบบป้องกันขีปนาวุธ ก็คือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยิงขีปนาวุธเข้ามา ระบบเรด้าร์ของอีกฝ่ายจะทำหน้าที่ตรวจจับความเคลื่อนไหว จากนั้นก็จะส่งขีปนาวุธขึ้นไปสกัดกลางอากาศ ไม่ให้ขีปนาวุธของผู้รุกราน เดินทางเข้าโจมตีเป้าหมาย

ดูๆไปแล้ว มันเป็นเรื่องของการป้องกันตัว ไม่ใช่การรุกราน จึงไม่น่าจะสร้างปัญหาอะไรกับฝ่ายรัสเซีย จนต้องออกมาหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างที่เป็นอยู่  แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น

ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ยกเว้นปรมาณู 2 ลูกที่สหรัฐขนไปถล่มญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ซึ่งในช่วงนั้น สหรัฐเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีอาวุธชนิดนี้อยู่ ) อาวุธนิวเคลียร์ ที่แสนจะร้ายกาจ ก็ไม่เคยได้ดื่มเลือดของชาวโลกอีกเลย ก็จึงถือได้ว่าอาวุธนิวเคลียร์ประสบความสำเร็จในการป้องปรามสงครามนิวเคลียร์ สหรัฐและโซเวียตต่างก็สร้างอาวุธนิวเคลียร์มากพอที่จะถล่มโลกทั้งใบให้เละเทะไปได้หลายรอบ พวกเขาสร้างมันขึ้นมามากมาย ก็เพราะต้องการใช้จำนวนของมัน ในการขู่ไม่ให้อีกฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน  ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจนถึงทุกวันนี้ เพราะไม่มีใครเคยหยิบเอาอาวุธชนิดนี้มาใช้แม้แต่ครั้งเดียว

หลายคนคงจะเคยดูหนังประเภทเจ้าพ่อของฮ่องกง และก็คงจะเคยเห็นฉากที่ 2 พระเอกหนุ่มหล่อของเรื่อง ต่างก็ควักปืนออกมาจ่อหัวซึ่งกันและกัน แต่ท้ายที่สุด ก็ไม่มีใครยิงหัวใคร เพราะต่างก็รู้ดีว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็คงจะกลายเป็นผีกันไปทั้งคู่

ในกรณีของสหรัฐและโซเวียตก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครกล้าใช้อาวุธนิวเคลียร์ยิงใครก่อน เพราะสุดท้ายแล้ว ก็คงจะต้องดับสูญกันไปทั้งคู่



แต่ถ้าลองย้อนกลับไปที่กรณีหนังฮ่องกง หากฝ่ายหนึ่งสวมชุดเกราะเหล็กแบบอัศวินนักรบสมัยโบราณ กับอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีอะไรป้องกันเลย ก็คงนึกออกได้ไม่ยากว่าฝ่ายไหนจะยิงหัวอีกฝ่ายหนึ่งก่อน

เช่นเดียวกับกรณีอาวุธนิวเคลียร์ ถ้าฝ่ายใดมีระบบป้องกันอาวุธนิวเคลียร์เสียแล้ว โอกาสที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ก็มีมากขึ้น เมื่ออาวุธนิวเคลียร์ที่อีกฝ่ายหนึ่งยิงมาถูกสกัดกั้น จนมาไม่ถึงเป้าหมาย อีกฝ่ายก็คงไม่หวั่นเกรงอาวุธนิวเคลียร์ของฝ่ายตรงข้ามมากเท่ากับในสมัยที่ยังไม่มีระบบป้องกันขีปนาวุธ

แต่สหรัฐมีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธในระดับทั่วประเทศมาช้านานแล้ว เพียงแต่ว่าปัญหาเรื่องทางเทคนิค การเงิน และอื่นๆทำให้เรื่องนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ 

ทำให้ในสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธข้ามทวีป หรือ Anti-Ballistic Missile Treaty  หรือ เอบีเอ็ม ระหว่างสหรัฐและโซเวียตที่ลงนามกันในปี 1972 และให้มีอายุเวลา 30 ปี คือจนถึงปี 2002  จึงกำหนดห้ามทั้งสองประเทศนำระบบป้องกันขีปนาวุธมาใช้

ภายใต้สนธิสัญญาดังกล่าว อนุญาตให้แต่ละประเทศสามารถนำระบบป้องกันขีปนาวุธมาใช้ปกป้องเป้าหมายได้เป้าหมายเดียวเท่านั้น และให้แต่ละฝ่ายมีขีปนาวุธสกัดกั้นเพื่อการนี้ได้แค่ 100 ลูกเท่านั้น ซึ่งฝ่ายโซเวียตก็เลือกที่จะปกป้องกรุงมอสโก โดยใช้ระบบที่เรียกว่า A-35 "Galosh" ส่วนสหรัฐเลือกที่จะปกป้องเป้าหมายเป็นฐานทัพอากาศชื่อ  Grand Forks โดยใช้ระบบ Safeguard

แต่สหรัฐก็ยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบต่อไป จนในที่สุดปลายปี 1999 สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ก็รับรองมติในอันที่จะกดดันสหรัฐให้ล้มเลิกแผนการในการจัดสร้างระบบต่อต้านขีปนาวุธ

งานนี้นอกจากสหรัฐที่คัดค้านมติดังกล่าว ก็ยังมีอีกแค่ 3 ประเทศเท่านั้นคือ แอลเบเนีย อิสราเอล และไมโครนีเซียที่อยู่ข้างสหรัฐ ขณะที่ 13 ประเทศจาก 15 ประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป งดออกเสียง ส่วนฝรั่งเศสและไอร์แลนด์สนับสนุนมติ โดยมตินี้ เรียกร้องให้สหรัฐพยายามรักษาสนธิสัญญาเอบีเอ็มเอาไว้ และพยายามทำให้มันเข้มแข็งมากขึ้น 

แต่ปลายปี 2001 สหรัฐก็ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาเอบีเอ็ม เพื่อเดินหน้าพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธต่อไป


วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

บริษัทผลิตอาวุธสงคราม

บริษัทผลิตอาวุธสงคราม

บีเออี ซิสเต็มส์




บีเออี ซิสเต็มส์ พีแอลซี (อังกฤษ: BAE Systems plc) เป็นบริษัทผลิตยุทโธปกรณ์ และอากาศยานสัญชาติอังกฤษ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองฟาร์นโบโร แฮมป์เชอร์ ประเทศอังกฤษ เป็นบริษัทผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่อันดับสองของโลก รองจากโบอิง และอันดับหนึ่งของยุโรป

บีเออี ซิสเต็มส์ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1999 จากการควบรวมกิจการของสายการผลิตอุปกรณ์อีเล็คทรอนิคส์ทางทหาร และอู่ต่อเรือ ของมาร์โคนี อีเล็คทรอนิคส์ ซิสเต็มส์ (MES) กับสายการผลิตอากาศยาน กระสุนปืนใหญ่ และเรือรบของบริทิช แอโรสเปซ (BAe) มีสายการผลิตทั้งเครื่องบินขับไล่ เครื่องบินพาณิชย์ เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน และเรือดำน้ำ ทั้งยังร่วมทุนกับอีเอดีเอส ถือหุ้นในแอร์บัสอยู่ 20%
ล็อกฮีด มาร์ติน 



ล็อกฮีด มาร์ติน (อังกฤษLockheed Martin) เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินระหว่างประเทศและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2538 โดยการรวมล็อกฮีดเข้ากับมาร์ติน มาเรียทต้าที่ทำการของบริษัทตั้งอยู่ที่เมืองเบเธสด้ารัฐแมร์รี่แลนด์ในสหรัฐอเมริกา ล็อกฮีด มาร์ตินมีลูกจ้างประมาณ 140,000 คนทั่วโลก ปัจจุบันมีประธาน ผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายบริหารคือโรเบิร์ต เจ สตีเว่นส์
ล็อกฮีด มาร์ตินเป็นผู้ทำสัญญาด้านการป้องกันที่ใหญ่ที่สุดของโลกหากวัดตามรายได้ ในปีพ.ศ. 2548 รายได้ 95% ของล็อกฮีด มาร์ตินมาจากกระทรวงกลาโหมและรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา และยังมีลูกค้าเป็นกองทัพของชาติอื่นๆ อีก

ทีมของล็อกฮีด มาร์ตินได้ชนะรางวัลในการสร้างและพัฒนาเครื่องบินไอพ่นเอฟ-22 แร็พเตอร์


โบอิง 



โบอิง (อังกฤษThe Boeing Company) เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์อากาศยานและยุทโธปกรณ์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา โบอิงนับเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินที่มีรายได้มากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตยุทโธปกรณ์อันดับสองของโลก

ในปี พ.ศ. 2549 โบอิงเป็นผู้ผลิตอาวุธปืนและเครื่องบินที่มีจำนวนสั่งซื้อมากที่สุดในโลก [3] มีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 55 สำหรับยอดสั่งซื้อ และร้อยละ 54 สำหรับยอดส่งมอบ กุมชัยชนะเหนือแอร์บัสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

นอร์ทธรอป กรัมแมน คอร์ปอเรชัน 

นอร์ทธรอป กรัมแมน คอร์ปอเรชัน เป็นบริษัทสัญชาติสหรัฐอเมริกา ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอากาศยานทางการทหาร การต่อเรือรบ และเทคโนโลยีทางการทหาร ก่อตั้งขึ้นในปี 1994 จากการควบรวมกิจการของบริษัท นอร์ทธรอปและบริษัทกรัมแมน เข้าด้วยกัน
ในปี 2010 นอร์ทธรอป กรัมแมน เป็นบริษัทที่มีสัญญาการจัดซื้ออาวุธอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก มีพนักงานทั่วโลกกว่า 120,000 คน มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตเซนจูรีซิตี้ เมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 2010 ได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับที่ 61 ในประเภทบริษัทอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาจากนิตยสารฟอร์จูน
                                              เอฟ-16 ไฟทิงฟอลคอน 
                                                                     
     
                                      
เอฟ-16 ไฟทิงฟอลคอน (อังกฤษ: F-16 Fighting Falcon) เป็นเครื่องบินขับไล่หลากบทบาทที่เดิมที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทGeneral Dynamicsเพื่อกองทัพอากาศสหรัฐมันถูกออกแบบให้เป็นเครื่องบินขับไล่ตอนกลางวันน้ำหนักเบา มันได้กลายมาเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ประสบความสำเร็จ ความสามารถรอบตัวของมันเป็นเหตุผลหนักที่มันทำการตลาดได้เยี่ยมโดยมันถูกเลือกโดยกองทัพอากาศของ 25 ประเทศ[2] เอฟ-16 เป็นโครงการเครื่องบินขับไล่พลังไอพ่นที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งตะวันตกพร้อมด้วยการผลิตกว่า 4,400 ลำตั้งแต่ปีพ.ศ. 2519[2] ถึงแม้ว่ามันจะไม่ถูกซื้อโดยกองทัพอากาศสหรัฐอีกต่อไป รุ่นที่ก้าวหน้าก็ยังคงทำตลาดในหมู่ต่างประเทศได้ ในปีพ.ศ. 2536 เจเนรัล ไดนามิกส์ขายธุรกิจการผลิตเครื่องบินให้กับบริษัทล็อกฮีด[3] ซึ่งได้กลายมาเป็นล็อกฮีด มาร์ตินหลังจากทำการรวมเข้ากับมาร์ติน มาเรียทต้าในปีพ.ศ. 2538[4]
เอฟ-16 เป็นนักสู้กลางอากาศที่มีวัตกรรมมากมายรวมทั้งฝาครอบห้องนักบินที่โค้งมน คันบังคับแบบแท่งที่ทำให้งานต่อการควบคุมภายใต้แรงจี และที่นั่งที่เอนไปด้านหลังเพื่อลดแรงจีที่กระทำต่อนักบิน อาวุธมีทั้งปืนใหญ่เอ็ม61 วัลแคนและขีปนาวุธมากมาย 11 ตำบล มันยังเป็นเครื่องบินขับไล่แบบแรกที่ถูกสร้างมาเพื่อทำการเลี้ยวแบบ 9 จีได้ มันมีอัตราการผลักต่อน้ำหนักที่ดีมาก ส่งผลให้มันมีพลังในการไต่ระดับและการเร่งที่ยอดเยี่ยมหากจำเป็น[1] แม้ว่าชื่อทางการของมันคือ"ไฟทิงฟอลคอน" แต่นักบินก็เรียกมันว่าไวเปอร์ (Viper) เนื่องมาจากมันคล้ายกับงูเห่าและตั้งชื่อตามยานขับไล่ในซีรีส์สแบทเทิลสตาร์ กาแลคติก้า[5][6]
เอฟ-16 มีกำหนดการที่จะปลดออกจากประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐในปีพ.ศ. 2568[7] มีการวางแผนที่จะแทนที่เอฟ-16 ด้วยเอฟ-35 ไลท์นิ่ง 2 ซึ่งจะเข้าประจำการในปีพ.ศ. 2554 และจะเริ่มเข้าแทนที่เครื่องบินหลากบทบาทจำนวนมากในกองทัพของชาติที่เข้าร่วมโครงการ

                                                         เรย์เธียน 

เรย์เธียน (NYSE: RTN) เป็นบริษัทสัญชาติสหรัฐอเมริกา ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธทางการทหาร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันเรย์เธียนเป็นผู้ผลิตขีปนาวุธนำวิถีที่ใหญ่ที่สุดในโลก[2]
เรย์เธียนก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1922 ที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาปัจจุบันที่พนักงานทั่วโลกกว่า 72,000 คน รายได้กว่า 90 % มาจากสินค้าทางทหาร ในปี ค.ศ. 2007 เรย์เธียนเป็นบริษัทจัดจำหน่ายอาวุธอันดับที่ 3 ของโลก[3]


                                                  อีเอดีเอส
                                                          



อีเอดีเอส (อังกฤษEuropean Aeronautic Defence and Space Company N.V. - EADS ) เป็นบริษัทสัญชาติยุโรปขนาดใหญ่ ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ. 2000 จากการควบรวมกิจการของ เดมเลอร์ไครสเลอร์แอโรสเปซ เอจี (DaimlerChrysler Aerospace AG - DASA) จากเยอรมนี กับ แอโรสปาติอาล-มาทรา (Aérospatiale-Matra ) จากฝรั่งเศส และ กอนสตรุกเซียวเนสอาเอโรเนาตีกัส เอเซอา (Construcciones Aeronáuticas SA - CASA) จากสเปน ทำการพัฒนาและจำหน่ายอากาศยานทางการทหาร เครื่องบินพาณิชย์ ระบบสื่อสาร ขีปนาวุธ จรวด และดาวเทียม มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิคมอุตสาหกรรม Schiphol-Rijk ใกล้ท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
การก่อตั้งอีเอดีเอส เกิดจากแรงกดดันเนื่องจากการรวมตัวของบริษัทผู้ผลิตอากาศยานทางการทหารของสหรัฐ ล็อกฮีด และมาร์ตินมาริเอตตา เป็นล็อกฮีดมาร์ตินในปี 1995 ตามด้วยการควบรวมกิจการของโบอิง กับแมคดอนเนลล์ดักลาส ในปี 1997
บริษัทย่อยของอีเอดีเอส บางส่วนได้แก่
·         แอร์บัส เป็นการร่วมทุนระหว่างอีเอดีเอส (80%) กับ บีเออี (20%)
·         เอทีอาร์ ผู้ผลิตเครื่องบิน เอทีอาร์ 42 และเอทีอาร์ 72
·         ดัซโซลท์เอวิเอชัน ผู้ผลิตเครื่องบินรบ ดัซโซลท์ ราฟาเอล
·         ยูโรไฟเตอร์ ผู้ผลิตเครื่องบินรบ ยูโรไฟต์เตอร์ ไทฟูน
·         แอเรียนสเปซ ผู้ผลิตจรวดขนส่งให้กับ องค์การอวกาศยุโรป
·         อีเอดีเอส แอสเทรียม ผู้ผลิตยานอวกาศ